เปิดใจวันนี้ของ แอนนี่ บรู๊ค กับหน้าที่ซิงเกิ้ลมัม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Youtube.com โพสต์โดยคุณ CiNNtv2
หลังผ่านมรสุมครั้งใหญ่ในชีวิตของ แอนนี่ บรู๊ค และ น้องฑีฆายุ ที่จนถึงขณะนี้หลายคนอาจจะยังคงตั้งคำถามกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พร้อมติดตามเรื่องราวชีวิตของเธอหลังจบคดีความไปแล้ว และเมื่อค่ำคืนวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา รายการตีสิบ จึงได้เชิญ 2 แม่ลูก แอนนี่ บรู๊ค และ น้องฑีฆายุ มานั่งพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตของเธอหลังฝ่ามรสุมครั้งใหญ่กันค่ะ
แอนนี่ บรู๊ค เปิดเผยว่า ขณะนี้ก็แฮปปี้ดีค่ะ อยู่กับลูก รู้สึกเหมือนมีเทวดาตัวน้อย ๆ อยู่ข้าง ๆ ซึ่งตอนนี้ น้องฑีฆายุ จะ 2 ขวบแล้ว ส่วนเรื่องคดีความจบแล้ว ศาลไม่ได้ตัดสินอะไร เป็นแค่การไกล่เกลี่ยยอมความกัน ต่างคนต่างไม่เอาเรื่องและไม่พูดถึงมันอีก เพราะตนรู้สึกเหนื่อยจริง ๆ ต้องทำงานอยู่คนเดียว และต้องขึ้นโรงขึ้นศาลอีก ยอมรับว่าหนักใจมาก อีกทั้งก็ไม่ใช่คดีความที่หนักหนา เพราะเมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น สบายใจขึ้น ตนคิดว่าเอาเวลาไปทำมาหากินกันดีกว่าไหม อยากทำงานมากขึ้นเพราะน้องเริ่มโตขึ้น ไม่อยากเอาเวลาไปคิดเรื่องอื่นที่จะทำให้เราหนักใจต่อเนื่องไปอีกหลาย ๆ ปี ส่วนเรื่องเงินทองกับคู่กรณีตนก็ไม่ได้ขอ เพราะไม่อยากได้เลย ซึ่งตนก็ไม่อยากให้ทุกคนดูถูกความรักของคนเป็นแม่ขนาดนั้น
ส่วนพัฒนาการของ น้องฑีฆายุ ขณะนี้ แอนนี่ บรู๊ค เผยว่า ตอนนี้ลูกก็ใกล้จะเข้าโรงเรียนแล้ว ซึ่งเขาก็พูดได้แล้ว พูดไม่หยุดเลยค่ะ (หัวเราะ) ตนรู้สึกว่าเขาโตเกินกว่าวัยที่เขาเป็น อย่างเช่น ความสูง น้องฑีก็ 93 เซนติเมตรแล้ว ซึ่งเกินกว่าเด็กวัยเดียวกัน และที่สำคัญห่วงหล่อม๊ากกก (หัวเราะ) อย่างเวลาจะออกจากบ้าน เขาจะบอกตนว่า แม่แอน เป่าผมหล่อ ๆ ก่อนนะ
นอกจากนี้ แอนนี่ บรู๊ค ยังเล่าความประทับใจถึง น้องฑีฆายุ ให้ฟังด้วยว่า ตนคิดอยู่เสมอว่าถ้าเราอยากให้ใครทำอะไรให้เรา เราก็จงทำแบบนั้นกับเขา เวลาที่ตนโดนตัวน้องฑีฆายุแบบไม่ตั้งใจ ตนจะบอกทันทีว่า แม่ขอโทษนะ และหลังจากที่ น้องฑีฆายุ พูดได้ วันนั้นตนก้มหยิบกุญแจแล้วหัวโขกน้องพอดี แต่เขาก็บอกว่า ขอโทษนะแม่แอน ด้วยสายตาที่รู้สึกผิดจริง ๆ ซึ่งมันอาจจะดูไม่มีความหมาย แต่ในความรู้สึกของคนเป็นแม่ ตนรู้สึกว่าเขาเริ่มมีความรู้สึกผิดชอบแล้ว อีกทั้งยังมีเรื่องที่ตนสามารถฝึกให้ น้องฑีฆายุ นั่งกระโถนเป็นแล้ว ซึ่งต่อไปตนก็ไม่ต้องเสียค่าแพมเพอร์สอีกเยอะเลย (หัวเราะ)
หลังจากนั้น ทางรายการจึงได้เชิญ น้องฑีฆายุ ออกมาให้ผู้ชมได้ยลโฉมความน่ารักสดใสและเฉลียวฉลาดซุกซนตามประสาเด็ก ๆ ซึ่งเชื่อว่าใครเห็นเป็นต้องหลงรักหนุ่มน้อยคนนี้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิธีกรถามถึงวิธีการเลี้ยงลูกนั้น แอนนี่ บรู๊ค เล่าว่า ตนจะไม่ตามใจลูก อย่างไปเดินห้าง เขาจะเอาของให้ได้แล้วลงไปดิ้น ๆ ตนจึงบอกไปเลยว่า น้องฑีดิ้นไปเลยลูก สนุกไหม เขาก็จะกรี๊ด ๆ ตนก็บอกไปอีกว่า คอแห้งไหม เอาน้ำไหมลูก ซึ่งคนที่ผ่านไปผ่านมาเขาจะหัวเราะ แต่ตนก็เฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกอายแล้วต้องซื้อของให้ลูก ตนก็ปล่อยให้เขาดิ้นไป แล้วบอกว่าแม่เดินไปก่อนนะ บ๊ายบาย แล้วตนก็ไปแอบดูอยู่ไกล ๆ หลังจากนั้นเขาจะลุกขึ้นแล้ววิ่งตามหาตน นอกจากนี้ น้องฑีฆายุ ก็จะชอบเอานิ้วแหย่ปลั๊กไฟซึ่งตนก็จะฟาดทันที เพราะเด็กวัยนี้อธิบายให้เขาฟังว่ามันไม่ดี เขาก็ไม่เข้าใจ แต่เขาจะจดจำความเจ็บปวดได้ (หัวเราะ)
และเมื่อถามว่าเขารู้เรื่องถึงขนาดปลอบแม่ได้แล้วจริงหรือ แอนนี่ บรู๊ค เล่าว่า จริงค่ะ เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว เจอเรื่องไม่สบายใจแล้วร้องไห้เยอะเหมือนกัน แล้วเขาไม่เคยเห็น เพราะตนจะไม่ค่อยร้องให้ลูกเห็น อย่างเวลาลูกร้องตนจะปลอบโดยการเรียกให้ลูกไปดูพระอาทิตย์ตกดินและบอกว่า "ถ้าน้องฑีร้องไห้ไม่สบายใจ น้องฑีดูพระอาทิตย์ตกดิน ถ้าพระอาทิตย์ตกดินแล้ว เรื่องจบแล้ว" ซึ่งตนก็พูดไปโดยไม่รู้ว่าน้องฑีจะจำได้ไหม แต่วันนั้นน้องฑีเห็นตนร้องไห้ เขาก็ทำหน้าจะร้องตาม แต่สักพักเขาก็มากอดเรา และบอกว่า แม่แอนเป็นอะไรไหม พระอาทิตย์ตกดินแล้วนะ ซึ่งด้วยคำพูดแค่นี้ก็ทำให้ตนหยุดร้องไห้ได้ทันที
มาที่เรื่องราวการทำงานของ แอนนี่ บรู๊ค กันบ้าง เจ้าตัวเล่าว่า ตอนนี้ก็เป็นพิธีกรของทีวีไดเร็คของเคเบิ้ลทีวี และเริ่มมีงานพิธีกรอื่น ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ รวมถึงเล่นมิวสิควิดีโอของตั๊กแตน ชลลดา นอกจากนี้ก็เปิดร้านทำเล็บเล็ก ๆ ที่โชคชัย 4
ต่อข้อถามว่าต่อไปว่าถ้าน้องฑีฆายุโตขึ้น อยากให้เขาเข้าวงการบันเทิงด้วยหรือไม่ แอนนี่ บรู๊ค กล่าวว่า ถ้ายังเป็นเด็ก ๆ อย่างตอนนี้ก็โอเค แต่ถ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่อยาก คือ ถึงแม้จะหาเงินมาได้ง่าย แต่สิ่งยั่วยุก็เยอะ และตนก็กลัวว่าเขาจะพลาดไปกับสิ่งนั้น
มาที่เรื่องหัวใจของ แอนนี่ บรู๊ค กันบ้าง ว่าขณะนี้มีคนมาจีบหรือไม่นั้น เจ้าตัว ยอมรับว่า ก็มีเหมือนกัน แต่คนที่จะเข้ามานับจากนี้ก็คงต้องดูกันให้นาน ๆ เพราะตนเป็นคนหัวใจมีแผลลึกด้วย อีกทั้งตนมีลูกแล้วด้วย ซึ่งเขาก็ต้องมีจิตใจดีและรักลูกของตนจริง ๆ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
และมาถึงกระแสข่าวที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงในสังคมว่า ถ้าน้องฑีฆายุโตขึ้นแล้ว จะพาลูกหนีไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศนั้น จริงหรือไม่ แอนนี่ บรู๊ค ตอบว่า ก็ไม่ได้เรียกว่าหนีค่ะ เพราะถ้าหนีต้องพาไปตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่มีข่าวแล้ว แต่อีกสักพักหนึ่งตอนที่น้องอายุ 4-5 ขวบ ค่อยให้ไป เพราะการไปอยู่เมืองนอกไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งค่าใช้จ่ายก็สูง เมืองไทยเป็นประเทศที่อยู่แล้วดีที่สุด มีความสุขที่สุด และอบอุ่นที่สุด แต่หากพ้นจากเมืองไทยไปแล้วจะเคว้งคว้างแน่นอน
ทั้งนี้ แอนนี่ บรู๊ค กล่าวอีกว่า ตนกลัวว่า น้องฑีฆายุ จะต้องเจอคำถามอะไรที่ทำให้เขารู้สึกเจ็บ และเมื่อเขาโตไปเขาก็อาจจะมีนิสัยอีกแบบหนึ่ง เหมือนอย่างที่ตนเคยเป็น เพราะสมัยเด็กแม่จะมีทัศนคติที่ไม่ดีกับพ่อ ทำให้ตนกลัวความรัก กลัวผู้ชาย และคิดว่าผู้ชายไม่ซื่อสัตย์ ไม่มีทางรักเราจริง เราจึงไม่อยากแต่งงานโดยอัตโนมัติ ซึ่งตนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับน้องฑี ตนอยากให้เขามีชีวิตที่เป็นของเขาเอง เป็นตัวของเอง ไม่มีใครจ้องมองหรือคาดหวังอะไรเขา
ต่อข้อถามว่า แล้วกลัวไหมที่จะต้องเจอคำถามจากน้องฑีฆายุเกี่ยวกับเรื่องพ่อ แอนนี่ บรู๊ค กล่าวว่า ไม่กลัวค่ะ มีคำตอบให้เขาอยู่ในใจไว้แล้ว ตนเชื่อว่าซิงเกิ้ลมัมทุกคนมีคำตอบเหมือน ๆ กัน แต่อยู่ที่ว่าจะตอบให้รู้สึกแย่หรือตอบให้ลูกรู้สึกดี อย่างแม่ของตนตอบด้วยความโกรธและโมโหว่า พ่อตกเครื่องบินตายไปแล้ว เพื่อเป็นการตัดปัญหาและไม่ต้องอธิบายอีก แต่สำหรับตนไม่ใช่ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนและสมวัยกับเขาค่ะ
ทางทีมงานกระปุกก็ขอเป็นกำลังใจให้กับ แอนนี่ บรู๊ค และ น้องฑีฆายุ ด้วยนะคะ ขอให้มีความสุขและเป็นคู่แม่ลูกที่น่ารักแบบนี้ต่อไปค่า...
1 ความคิดเห็น:
ทดสอบ
แสดงความคิดเห็น